FITPUB THAILAND

FIT PUB Ori-01

แลนด์มาร์คใหม่ย่านรังสิต

ฟิตเนสสายผับ

ที่จะทำให้หัวใจของคุณเต้นแรง ร่างกายฟิตถึงขีดสุด

รวมสารพัดความเชื่อผิด ๆ ในการออกกำลังกาย

ความเชื่อผิดๆ ในการออกกำลังกาย: เพราะเรารู้เสมอว่า…แต่ละคนย่อมมีวิธีการออกกำลังกายที่แตกต่างกันออกไป ตามความถนัด ตามความชอบของแต่ละคน บางคนเชื่อว่าออกกำลังกายแบบนั้นแล้วจะดี หรือบางทีก็คิดว่า ออกกำลังกายแบบนี้แล้วได้ผลกว่า แต่!! ก็ยังมีหลายความคิด ความเชื่อในการออกกำลังกายของเรา ที่มันก็ไม่ได้ถูกเสมอไปนะ ถ้าทำต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากจะไม่เกิดผลลัพธ์อะไรแล้ว ยังจะส่งผลเสียให้กับเราอีกด้วย

พร้อมกันแล้วรึยัง!! กับการเปลี่ยนความคิดใหม่ ที่ไม่ใช่ ความเชื่อผิดๆ ในการออกกำลังกาย หรือ เป็นการออกกำลังกายแบบไหนที่ #อย่าหาทำ ต้องเลิก ต้องหยุดเดี๋ยวนี้ทันทีเลย จะมีอะไรที่อย่าหาทำ อย่าหาคิดบ้าง มาดูกันเลย!

เหงื่อเยอะ ≠ เบิร์นไขมัน

เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เหงื่อที่ออกมาในระหว่างที่เราออกกำลังกายนั้น มาจาก กลไกธรรมชาติของร่างกายเรา ที่จะช่วยระบายความร้อนและปรับสมดุลอุณหภูมิร่างกาย ในเวลาที่ร่างกายของเราร้อนมากหรือเวลาที่มีอากาศร้อน จะส่งผลกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการระบายเหงื่อออกมา

ดังนั้น ปริมาณเหงื่อที่เกิดขึ้นในเวลาออกกำลังกาย จึงไม่ได้หมายความว่าร่างกายมีการขับไขมันออกมาทางผิวหนังอย่างที่เราเข้าใจ แต่ปริมาณเหงื่อที่เกิดขึ้นในระหว่างการออกกำลังกายนั้นอาจเป็นตัวชี้ให้เห็นว่า ร่างกายมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานอยู่ โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ประเภทคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน การเต้น ที่จะมีเหงื่อออกมามาก แต่ในทางกลับกัน สำหรับการออกกำลังกายแบบเวท เทรนนิ่ง ก็จะสังเกตได้ว่าผู้เล่นก็ไม่ได้มีเหงื่อมาก แต่ก็มีการเผาผลาญพลังงานอย่างมากเช่นกัน

การวิ่ง ไม่ได้ทำให้น่องใหญ่เสมอไป

เชื่อว่าหลาย ๆ คน ล้มเลิกการออกกำลังกายด้วย ‘การวิ่ง’ ไป เพียงเพราะความคิดที่ว่าการวิ่งจะทำให้น่องใหญ่ จริง ๆ แล้ว มันก็ไม่เสมอไปนะ การวิ่งสามารถทำให้น่องเล็กลงได้ แต่หากไม่ทำอย่างสม่ำเสมอ หรือวิ่งผิดวิธี หักโหมมากเกินไป การลดไขมันส่วนน่อง อาจจะกลายเป็นการสร้างกล้ามเนื้อแทน ทั้งนี้ น่องที่ใหญ่ขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับสรีระ พันธุกรรม และจำนวนไขมันที่น่องได้ด้วย เพราะฉะนั้น เราก็ควรวิ่งให้ถูกวิธีและบริหารบริเวณน่องให้ถูกจุดด้วยนะ

ยิ่งออก ยิ่งเจ็บ ยิ่ง(ไม่)ดี 

ข้อนี้นี่ถูกใจสายซาดิสม์เลยสินะ ยิ่งออกกำลังกายหนัก ๆ เจ็บแขน ปวดขา ยิ่งเจ็บ ยิ่งชอบ ยิ่งทำซ้ำ และก็คิดว่าถ้าออกซ้ำในจุดที่เจ็บมาก ๆ ก็จะยิ่งหายเจ็บไว แถมสัดส่วนนั้นก็จะได้กระตุ้น ทำให้กระชับขึ้น ซึ่งบอกเลยว่าความคิดนี้ “ผิดมาก” !!  เพราะหากทนฝืนออกกำลังกายในขณะที่ร่างกายบาดเจ็บ สิ่งจะเกิดขึ้นตามมาไม่ใช่ร่างกายส่วนนั้นจะแข็งแรงขึ้น หรือกระชับขึ้น แต่จะทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด ระบม และเป็นอันตรายต่อร่างกาย

ดังนั้น เมื่อไหร่ที่เกิดอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย สิ่งที่ต้องทำ ควรจะเป็นการพักฟื้น ไม่ใช่การฝืนเล่นต่อ ซึ่งอาจจะต้องพักฟื้นถึง 48 ชั่วโมง หรือตามอาการ แล้วค่อยกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง ในวันถัดไป หรือในตอนที่อาการบาดเจ็บลดลง ทั้งนี้ ในระหว่างพักฟื้นก็ควรเลือกกินอาหารที่จะช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมร่างกาย และทานอาหารประเภทโปรตีนให้มากขึ้น เพื่อช่วยเร่งในกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ 

ผู้หญิงเล่นเวท จะล่ำกว่าผู้ชาย 

ผู้หญิงหลายต่อหลายคนกลัวการเล่นเวทกันมาก ด้วยความที่ว่าการเล่นเวทก็อาจจะทำให้กล้ามโต ล่ำ เหมือนแบบที่ผู้ชายเล่น “ซึ่งไม่จริง” เพราะกล้ามที่ใหญ่ อาจจะมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศ ที่ชื่อว่า เทสโทสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย และฮอร์โมนนี้ก็มีอยู่ในร่างกายของผู้หญิงเช่นกัน แต่มีในปริมาณที่น้อยมาก ทำให้เมื่อผู้หญิงไปออกกำลังกาย ด้วยการเล่นเวทเทรนนิ่ง จึงไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ จนดูไม่สวยงามแต่อย่างใด

และถ้าหากออกกำลังกาย หรือเล่นเวทเทรนนิ่งอย่างถูกวิธี ยิ่งจะทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง มีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น จะทำให้ผู้หญิงมีหุ่นสมส่วน เช่น มีก้นมากขึ้น การลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายก็จะเร็วขึ้น มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และยังจะช่วยให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงไปด้วย

ออกกำลังกายตอนเช้าได้ผลดีสุด 

  การออกกำลังกายตอนเช้าจะช่วยสร้างสมาธิ แถมร่างกายมีระดับฮอร์โมนและการไหลเวียนที่สูงกว่าในช่วงเช้าและอยู่ในระดับปกติ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้มาก พร้อมกับช่วยลดความอยากอาหารในมื้อกลางวัน แต่การออกกำลังกายในช่วงเย็น ก็จะทำให้เกิดและสร้างกล้ามเนื้อได้ดีที่สุด เพราะสามารถใช้แรงพลังได้เต็มที่ และก็เพราะฮอร์โมนที่กำลังผันผวน จะทำให้การออกกำลังกายในช่วงเย็นนั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากระดับคอร์ติซอลในตอนเช้านั้น จะไประงับการเติบโตของกล้ามเนื้อ แต่ระดับฮอร์โมน Testosterone ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเย็นจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้แทนมากกว่านั่นเอง                   

 จริง ๆ แล้วในเรื่องของ “ช่วงเวลาในการออกกำลังกาย” ก็สามารถพูดได้ว่า ในการออกกำลังกายนั้น เราสามารถออกกำลังกายได้ในทุกช่วงเวลา และไม่ว่าช่วงเวลาไหนก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกันทุกช่วงเวลา โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบการออกกำลังกาย และความสะดวกของแต่ละคนมากกว่า ว่ามีเวลาว่างตอนไหน เวลาไหนเหมาะกับตัวเอง เพราะแต่ละช่วงเวลาก็มีข้อดีและข้อเสีย แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างเลย คือ สุขภาพดี ที่เราจะได้รับจากการออกกำลังกาย                                                                                

วอร์มอัพ-คูลดาวน์ เสียเวลา ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้

ไม่ว่าจะออกกำลังกายด้วยวิธีการไหน ก็ต้องมีการวอร์มอัพ และคูลดาวน์ เพราะเราจะไม่สามารถขยับตัวหรือขยับร่างกายได้เลย หากไม่เตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย หรือหลังจากที่เราออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วง กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของร่างกายถูกกระตุ้นมาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้คลายกล้ามเนื้อเลย ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา

การวอร์มอัพหรือการอุ่นเครื่อง เป็นการช่วยเตรียมร่างกายก่อนออกกำลังกาย พร้อมกับช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของระบบหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย และเพิ่มการไหลเวียนเลือดในกล้ามเนื้อ และที่สำคัญคือช่วยลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บอีกด้วย

ส่วนการคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย ก็ช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตค่อย ๆ กลับมาสู่ระดับปกติ เพราะในระหว่างที่ออกกำลังกาย ร่างกายของเราจะมีอัตราการเต้นของหัวใจและความดันของโลหิตสูง

 การวอร์มอัพและคูลดาวน์จึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ไม่ควรมองข้าม และควรทำก่อนและหลังออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพของการออกกำลังกายให้มากขึ้น

ออกกำลังกายแล้วจะกินเท่าไหร่ก็ได้

ถ้าเป้าหมายของการออกกำลังกาย คือ การกระชับสัดส่วน หรืออยากมีหุ่นที่ดีขึ้น อาหารการกิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ต้องให้ความสำคัญ ทำควบคู่กันไปด้วย โดยการคุมอาหาร 80% และออกกำลังกาย 20% ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักชัดเจน ก็ควรจะต้องเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เลือกกินโปรตีน ผัก ผลไม้ มากกว่าการกินของหวาน น้ำอัดลม หรืออาหารประเภทแป้ง

และในส่วนของการกิน แม้จะไม่อยากให้ทุกคนที่ออกกำลังกายต้องมานั่งอดอาหาร คุมน้ำหนักกันจนแพนิก แต่แน่นอนว่า นั่นไม่ได้หมายความถึงทุกคนจะกินเท่าไหร่ก็ได้นะ ก็ต้องกินเท่าที่อิ่ม และเลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์ด้วย พร้อมกับกินให้เท่ากับพลังงานที่ควรจะได้รับต่อวัน
ที่ผู้ชายต้องการพลังงานที่ใช้ต่อวัน คือ 1,800-2,000 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิงต้องการพลังงานที่ใช้ต่อวัน คือ 1,500-1,800 กิโลแคลอรี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีไขมันส่วนเกินอยู่ในร่างกายมากน้อยเพียงใด และมีกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันว่ามากน้อยแค่ไหน

ให้ความสำคัญกับน้ำหนัก

สำหรับความคิดข้อนี้เป็นสิ่งที่หลายคนทำกันเยอะมาก จริง ๆ แล้วการเช็กน้ำหนักก็ไม่ใช่เรื่องผิดนะ ก็สามารถชั่งน้ำหนักได้ตลอด แต่ถ้าจะให้ความสำคัญกับ น้ำหนัก อย่างเดียวล่ะก็ อันนี้ผิดเลย เพราะ น้ำหนักของคนเรามีการขยับขึ้น ขยับลง อยู่ตลอดเวลา หากลองเปรียบเทียบระหว่าง คนที่ออกกำลังกายถูกวิธี กินถูกหลักโภชนาการ คนนั้นก็อาจจะมีน้ำหนักมากกว่า แต่กลับมีหุ่นและสัดส่วนที่ดีกว่า คนที่ออกกำลังกายไม่ถูกวิธี และอดอาหารก็ได้นะ เพราะขึ้นอยู่กับมวลร่างกายของแต่ละคน บางคนอาจจะมีมวลกล้ามเนื้อเยอะหรือน้อย แตกต่างกันไป

ดังนั้น ก็ควรเปลี่ยนจากการโฟกัสน้ำหนัก มาโฟกัส ‘สัดส่วน’ กันดีกว่า หยิบสายวัดขึ้นมา แล้วมาวัดสัดส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรอบแขน รอบอก รอบเอว รอบขา แล้วหลังจากออกกำลังกาย พร้อมกับคุมอาหารไปแล้ว ผ่านไป 1 สัปดาห์ ก็ให้วนกลับมาวัดสัดส่วนเดิมอีกครั้ง มีส่วนไหนลดหรือเพิ่มขึ้นบ้าง ซึ่ง ‘สัดส่วน’ จะเป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์ในการออกกำลังกายได้ดีที่สุด 

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนพร้อมจะเปลี่ยนความคิด ความเชื่อใหม่กันแล้วใช่มั้ยล่ะ งั้นก็อย่ารอช้า จดลิสต์เรียบร้อย ก็เตรียมเปลี่ยนความคิดกันได้เลย เรื่องแบบนี้อย่าหาคิด อย่าทำเองเลย ต้องศึกษาให้ดี ออกกำลังกายครั้งนี้ จะต้องไม่สูญเปล่า ! ต้องได้ผลลัพธ์ที่ดี ตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น และหุ่นที่ดีขึ้นด้วยนะ

หากใครสนใจบทความดีๆ อย่างนี้อีก สามารถอ่านได้ที่ ลิงก์

ติดตามเราเพื่อรับข้อมูลดีๆได้ที่

📞: 0815469244

📱FB : fitpubthailand

📱 IG : fitpubthailand

Line@ : @fitpub (มี@ข้างหน้าด้วย)

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก GQ. HDmall. MGR Online