“ ดูดไขมัน ” อีกหนึ่งวิธีเสริมความมั่นใจของคนยุคใหม่ ที่สามารถช่วยลดสัดส่วนบนร่างกายแบบทางลัด ฉบับไม่ต้องออกกำลังกายก็เพรียวได้ (?) แม้จะดูเหมือนง่าย แต่หากคนที่ทำหรือคลินิกที่ให้บริการ ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญก็นับว่าเป็นเรื่อง “อันตราย” ที่เราต้องระมัดระวังและทำความเข้าใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกับการ “ ดูดไขมัน ” กันก่อนนะ !
การดูดไขมันคืออะไร ?
การดูดไขมัน (Liposuction) เป็นการกำจัดไขมันส่วนเกิน พร้อมลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดออก โดยใช้เครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายท่อยาวใส่เข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดูดไขมันส่วนเกินออกมาจากบริเวณต่าง ๆ ได้แก่ หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน คอ ก้น เป็นต้น ทำให้ลดจำนวนไขมันบริเวณส่วนต่าง ๆ ที่สะสมเฉพาะที่ลงได้
โดยทั่วไปการดูดไขมันมีอยู่ 2 วิธี คือ วิธีแบบดั้งเดิมโดยการใช้การดมยาสลบ และวิธีปัจจุบัน โดยการดูดไขมันด้วยเทคนิค Tumescent หรือการใส่ยาชาและน้ำเกลือที่เนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งการดูดไขมันเทคนิค Tumescent นั้นถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1987 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจากแคลิฟอร์เนีย และกลายเป็นวิธีการดูดไขมันวิธีหลักโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจนถึงทุกวันนี้
การดูดไขมัน ด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดูดไขมันแต่ละส่วน (เฉพาะจุด) ดูดไขมันเหมาส่วน หรือ ดูดไขมันเหมาทั้งตัว ในปัจจุบันนิยมแบ่งและเรียกตามชื่อเครื่องมือที่ใช้ในการดูดไขมัน เช่น
- เครื่องดูดไขมันแบบ BodyTite (บอดี้ไทท์) เครื่องดูดไขมัน BodyTite (บอดี้ไทท์) เน้นกระชับสัดส่วน กระชับผิว (ได้ถึง 12% มากที่สุดกว่าทุกเครื่องดูดไขมัน)
- เครื่องดูดไขมัน พลังงานน้ำ Bodyjet (บอดี้เจ็ท) เครื่องดูดไขมัน Bodyjet (บอดี้เจ็ท) เน้นดูดไขมันแล้วกลับนำมาฉีดได้ใหม่ เพราะเชื่อว่าดูดไขมันด้วยน้ำทำให้เซลล์ไขมันตายน้อย
- เครื่องดูดไขมันแบบ Vaser (เวเซอร์) และเครื่องเลเซอร์ หรือ smart lipo
เครื่องดูดไขมัน ระบบสั่น PAL® ของเครื่อง MicroAire ส่วน Vaser Liposuction (เครื่องดูดไขมันเวเซอร์) และ MicroAire PAL® เน้นดูดออกปริมาณมาก
ขั้นตอนการดูดไขมัน
การศัลยกรรมดูดไขมัน เป็นการดูดเอาไขมันที่ไม่ต้องการในบริเวณต่าง ๆ ในร่างกายออกด้วยท่อขนาดเล็กและอุปกรณ์สุญญากาศ โดยจะทำการดูดไขมันบริเวณที่ต้องการออก ขั้นตอนหลัก ๆ ของการดูดไขมัน
ได้แก่
- ฉีดสารละลายน้ำเกลือ (Saline) ซึ่งประกอบด้วยยาชาและอะดรีนาลีนเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันเพื่อช่วยระงับความรู้สึกและลดการเสียเลือด ข้อดีของการดูดไขมันด้วยเทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ช่วยให้สามารถเอาไขมันออกมาได้ง่าย และช่วยลดความรู้สึกไม่สบายต่าง ๆ หลังขั้นตอนการดูดไขมัน นอกจากนั้นยังช่วยลดรอยช้ำและบวม
- แพทย์จะใส่ท่อขนาดเล็กลงในเนื้อเยื่อไขมัน และใช้อุปกรณ์สุญญากาศดูดไขมันในบริเวณที่ต้องการและหลังจากทำเสร็จแล้ว แพทย์จะใช้ผ้าพันแผลพันรอบบริเวณที่ดูดไขมันเพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้แผลหายได้ง่ายยิ่งขึ้น
ข้อดีของ “การดูดไขมัน
1. ลดจำนวนไขมัน
เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้น เซลล์ไขมันจะขยายใหญ่ขึ้น และถ้าน้ำหนักลดลง เซลล์ไขมันก็จะมีขนาดเล็กลง การดูดไขมัน จึงเป็นการกำจัดเซลล์ไขมันในร่างกายอย่างถาวร เมื่อเซลล์ไขมันถูกกำจัดออก หุ่นเราก็จะดีขึ้น
2. สร้างความมั่นใจ
เพราะเรื่องของรูปร่างนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นใจ เมื่อเรารู้ว่ารูปร่างของเรานั้น ยังไม่เป็นที่พอใจ ก็จะทำให้ขาดความมั่นใจ การดูดไขมัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความมั่นใจ เมื่อรูปร่างของเราดีขึ้น สัดส่วนสวยงาม ก็จะช่วยทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้น
3. สร้างสุขภาพที่ดี
การดูดไขมันสามารถลดเซลล์ไขมันหรือไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ถึงแม้ว่าไตรกลีเซอไซด์จะถูกผลิตตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย ไตรกลีเซอไรด์ที่มากเกินไปทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ มีการศึกษาพบว่าระดับของไตรกลีเซอไรด์ลดลงโดยเฉลี่ย 43% หลังการดูดไขมัน
4. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
เนื้อเยื่อคอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ ปราศจากริ้วรอยแห่งวัย การดูดไขมันจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ชั้นผิวมากยิ่งขึ้น โดยปกติชั้นผิวของเราจะมีการสร้างคอลลาเจนช้าลงตามอายุซึ่งทำให้ผิวพรรณเกิดความหย่อนคล้อยและริ้วรอยตามมา ผลของการดูดไขมันจะช่วยทำให้ผิวตึงกระชับปราศจากริ้วรอยได้อีกด้วย
ผลข้างเคียงของการดูดไขมัน
หลังจากการดูดไขมันเสร็จสิ้นเรียบร้อยจะเกิดสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เช่น
- มีการบวมและช้ำ ซึ่งอาจเป็นนานถึง 6 เดือน
- มีอาการชา ซึ่งจะหายไปเองภายใน 6-8 สัปดาห์
- อาจมีรอยแผลเป็น
- เกิดการอักเสบในบริเวณที่รับการรักษา
- มีการสะสมของของเหลว เป็นถุงใต้ผิวหนัง
ในบางรายอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่ผิดพลาด
- หลังจากการดูดไขมันแล้วเป็นก้อนไม่สม่ำเสมอ
- การเปลี่ยนแปลงของสีผิวในพื้นที่ที่ได้รับการรักษา
- ห้อเลือด
- เกิดอาการชาเป็นระยะเวลาหลายเดือน
- อาจสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในระหว่างขั้นตอนการดูดไขมัน เช่น เข็มหรือท่อแทงทะลุลำไส้
- ภาวะไขมันหรือลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด
- ปอดบวมน้ำ หัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
นอกจากนั้น ขั้นตอนการรักษาอาจทำให้เกิดความเสี่ยง เช่น มีเลือดออกมาก เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ เกิดการติดเชื้อ หรือมีอาการแพ้ยาชา
ดูดไขมันเหมาะกับใคร และใครไม่ควรดูดไขมัน
คนที่เหมาะกับการดูดไขมัน คือคนที่มีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เหนียง หรือน่องก็ตาม โดยไขมันที่เราดูดออกมานั้นเป็นไขมันที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ไม่เป็นอันตรายและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ มีผลต่อรูปลักษณะภายนอกเท่านั้น แต่ในคนไข้บางรายจะมีไขมันในช่องท้องร่วมด้วย ไขมันในช่องท้องนี้ไม่สามารถกำจัดได้ด้วยการดูดไขมัน จะต้องอาศัยระบบเผาผลาญในร่างกายเท่านั้น ซึ่งแพทย์จะสามารถแยกไขมันทั้งสองชนิดนี้ด้วยผลการตรวจร่างกาย ดังนั้นคนที่สามารถดูดไขมันได้ก็คือคนที่มีไขมันสะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง แต่จะดูดได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน และ Size ของคนไข้แต่ละคน
- การดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง?
– คนที่มีไขมันส่วนเกินสะสมมาก
– คนที่ออกกำลังกายแล้ว สัดส่วนไม่ลด
– คนที่ต้องการให้สัดส่วนเล็กลง
– คนที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง - ใครไม่ควรดูดไขมันบ้าง? ดูดไขมันแล้วอาจมีความเสี่ยง
– คนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ที่ควบคุมไม่ได้
– คนที่เป็นโรคซึมเศร้า และกำลังรักษาตัวอยู่ โดยยาบางชนิดจะทำให้ใช้ยาชาเฉพาะที่ไม่ได้ผล คนไข้จึงต้องงดยาก่อนดูดไขมัน แต่จะต้องผ่านการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ประจำตัวก่อนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง
– คนที่มีไขมันหน้าท้อง และผิวหนังหย่อนคล้อย ซึ่งอาจจะไม่มีไขมันใต้ชั้นผิวหนังให้ดูดออก สามารถเลือกรักษาด้วยวิธีอื่นแทนได้ เช่นการผ่าตัดหนังหน้าท้อง
การดูแลตัวเองหลังการดูดไขมัน
การดูดไขมันนั้นมีผลถาวรสำหรับไขมันที่ดูดออกไปแล้ว อย่างไรก็ตามก็สามารถมีไขมันเพิ่มมาได้ใหม่ หรือมีน้ำหนักเพิ่มได้อีก หากไม่ดูแลการรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกายที่ดี หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องควบคุมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่อไป หลังจากขั้นตอนการดูดไขมันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศัลยแพทย์อาจให้สวมใส่ชุดบีบกระชับสัดส่วนเป็นเวลาประมาณ 1-2 เดือน เพื่อช่วยในการควบคุมอาการบวมที่เกิดขึ้น และอาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในบางราย
ทำความเข้าใจให้ดี ! ดูดไขมัน ≠ ลดความอ้วน
เพราะการดูดไขมัน จะช่วยให้สัดส่วนเล็กลง หรือเพื่อความสวยงามของรูปร่างเท่านั้น
คนที่ดูดไขมันก็ไม่ได้ต้องการให้น้ำหนักลง หรือทุกคนก็รู้จุดประสงค์อยู่แล้วว่าดูดไขมันไม่ได้ช่วยให้ผอมหรือช่วยให้น้ำหนักที่มีอยู่ลดลง และไม่มีเป้าหมายว่าจะทำให้น้ำหนักลดลง แต่หลาย ๆ คน ก็ยังสับสน ยังคิดว่าการดูดไขมันไปเยอะ น้ำหนักลดลงเยอะ ซึ่งไม่จริง !
การดูดไขมัน “ไม่ใช่การลดความอ้วน” แต่เป็นการกระชับสัดส่วนเท่านั้น เพราะในความจริงแล้วไขมันมีน้ำหนักที่เบามากหากเปรียบเทียบกับกระดูกและกล้ามเนื้อ หลังดูดไขมันน้ำหนักอาจจะลดลงเพียงแค่ 1 กิโลกรัมโดยประมาณ หรือเท่ากับรับประทานอาหารเพียง 1-2 มื้อ น้ำหนักก็จะกลับมาเท่าเดิม ไม่ได้ช่วยให้ผอมลง หรือไม่สามารถเปลี่ยนคนอ้วนให้เป็นคนผอมได้
นอกจากนี้ การดูดไขมัน ที่มากและบ่อยจนเกินไป อาจจะส่งผลให้ร่างกายไม่สมดุล และอาจจะอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น เราต้องทำความเข้าใจเรื่องการดูดไขมันให้ดี ว่านี่ไม่ใช่การลดความอ้วน ไม่สามารถทำให้น้ำหนักลงได้ ควรเลือกดูดไขมันเฉพาะส่วนที่ตนเองคิดว่าจำเป็น และรู้สึกไม่สมดุลจริง ๆ
และสำหรับใครที่กลัวหรือยังไม่พร้อมที่จะ ดูดไขมัน ก็สามารถเริ่มต้นความผอม กระชับรูปร่าง ด้วยวิธีมาตรฐาน ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ อย่างการ “ออกกำลังกายและควบคุมอาหาร” โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือเข้าคอร์สลดน้ำหนักกับเทรนเนอร์สุดเท่ของ Fitpub ฟิตเนสสุดมันส์ ที่จะสานฝันความผอมให้กับทุกคน ในแบบที่สนุก ให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ 🎉
.
สนใจสมัครโปรโมชั่น หรือทดลองเข้ามาเล่นฟรี ทักอินบ็อก หรือทักแชทได้เลย
…
ติดตามเราเพื่อรับข้อมูลดีๆได้ที่
📞 : 0815469244
🌐 เว็บไซต์: https://fitpubthailand.com
📟 Line@ : @fitpub (มี@ข้างหน้าด้วย)
REF : bangkokhospital , .pobpad , rama.mahidol , rattinan